หากเริ่มต้นจากคำถามว่า อะไรคือองค์ประกอบในการทำวิจัยที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการสูงสุดในการออกแบบ User Experience (UX) และ User Interface (UI) หนึ่งในปัจจัยสำคัญของคำตอบดังกล่าวคือ วิธีการวิจัย หรือ Research Methodology เนื่องจากการเลือกประยุกต์ใช้วิธีการวิจัยอย่างเหมาะสมจะส่งผลให้ได้รับผลลัพธ์การวิจัยที่เที่ยงตรงและมีคุณประโยชน์ต่อการทำงาน UX/UI แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า วิธีการวิจัยด้าน UX/UI นั้นมีวิธีการวิจัยที่หลากหลายในหลายๆสถานการณ์และบริบทต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดคำถามสำคัญขึ้นว่า อะไรคือปัจจัยในการเลือกวิธีการวิจัยที่ดีในการทำงานด้าน UX/UI โดยในบทความนี้จะวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ควรคำนึงถึงเพื่อใช้สำหรับการเลือกใช้วิธีการวิจัยอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้คุณประโยชน์สูงสุดต่อการทำงาน
วิธีการวิจัย (Research Methodology) คือ รูปแบบหรือขั้นตอนที่ใช้สำหรับการวิจัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์มาซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อการทำงาน โดยในปัจจุบันการทำงานด้าน UX/UI มีรูปแบบการวิจัยที่หลากหลายเป็นอย่างมากในหลายๆบริบท ตัวอย่างเช่น System Usability Scale (SUS) Customer Effort Score (CES) หรือ Think Aloud วิธีการที่ระบุเหล่านี้ต่างล้วนใช้ในการทำวิจัยด้านความยากง่ายในการใช้งาน (Usability Testing) แต่จะทราบได้อย่างไรว่าวิธีใดคือวิธีที่เหมาะสมกับการทำวิจัยที่กำลังจะดำเนินการอยู่ หากวิเคราะห์โดยพื้นฐาน ปัจจัยเบื้องต้นดังกล่าวประกอบไปด้วยดังนี้
คุณลักษณะผู้เข้าร่วมวิจัย หรือ Persona of Participant คือองค์ประกอบที่อธิบายและบ่งบอกถึงข้อมูลพื้นฐาน บุคคลิก ภาพลักษณ์ ฯลฯ ของบุคคลที่มาเข้าร่วมวิจัย ข้อมูลด้านคุณลักษณะผู้เข้าร่วมวิจัยแสดงถึงความสำคัญต่อการเลือกวิธีการวิจัยด้าน UX/UI เป็นอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยต่างๆ อาทิ ความสามารถในการใช้งานหรือปฎิสัมพันธ์ ความเข้าใจ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น จากงานวิจัยหนึ่งหากต้องการทำการวิจัยด้านความยากง่ายต่อการใช้งานระบบ (Usability Test) กับผู้สูงอายุ การเลือกใช้วิธีการวิจัยบางวิธี เช่น Diary Study อาจจะไม่เหมาะสมกับกลุ่มดังกล่าวเนื่องยากตัววิธีการวิจัยเองมีความซับซ้อนในความเข้าใจ หรือการเลือกใช้ Think Aloud กับผู้พิการทางการได้ยิน
นอกจากการส่งผลต่อวิธีการเก็บข้อมูลการวิจัย ในเวลาเดียวกันปัจจัยด้านคุณลักษณะผู้เข้าร่วมวิจัยยังส่งผลถึงวิธีการวิจัยด้านการเลือกพัฒนาแบบจำลอง (Prototype) เนื่องจาก ระดับความคล้ายคลึงของแบบจำลอง (Level of Fidelity of Prototype) สามารถส่งผลต่อความเข้าใจและการใช้งานเป็นอย่างสูง หากเลือกระดับความคล้ายคลึงของแบบจำลองอย่างไม่เหมาะสมกับคุณลักษณะผู้เข้าร่วามวิจัยอาจจะส่งผลให้ยากต่อความเข้าใจในการใช้งาน อาทิ การเลือก แบบจำลองระดับความคล้ายคลึงต่ำ (Low-Fidelity Prototype) มาเป็นตัวกลางในการใช้งานสำหรับงานวิจัยกับกลุ่มคนที่ไม่เชี่ยวชาญหรือไม่ถนัดด้านการใช้งานเทคโนโลยี (Novice User หรือ Non-Tech Savvy User) ดังนี้แล้วปัจจัยด้านคุณลัพกษณะผู้เข้าร่วมวิจัยจึงเป็นหนึ่งในปัจจจัยสำคัญทีควรคำนึงถึงในการเลือกใช้วิธีการวิจัยเพื่อให้ได้ผลัพพธ์ที่เที่ยงตรงและมีคุณประโยชน์สูงสุด
หลายครั้งในการเลือกวิธีการทำวิจัยด้าน UX/UI มักจะลืมคำนึงถึงปัจจัยด้าน สถานะ ความคืบหน้าและบริบทของโครงการ (Project) ปัจจัยดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างมากต่อการเลือกวิธีการวิจัย เพราะสาเหตุที่ว่า วิธีการวิจัยในรูปแบบวิธีการต่างๆ ส่งผลต่อระยะเวลาและทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในโครงการ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มีสถานะของโครงการมีทรัพยากรเวลาไม่มากในการทำวิจัย การเลือกใช้วิธีการที่ใช้ทรัพยากรเวลาสูง อาทิ Diary Study Ethnographic Study ฯลฯ อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะสมในกรณีดังกล่าว หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งคือ หากการวิจัยดังกล่าวมีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพเพื่อหาความต้องการของผู้ใช้มาแล้วครั้งหนึ่งผ่านการสัมภาษณ์ที่จำนวน 5 คน หลังจากที่ทราบข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับความต้องการของผู้ใช้ จึงเกิดคำถามสำคัญขึ้นในลำดับถัดมาว่า ข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์จากจำนวน 5 คน สามารถน่าเชือถือได้มากน้อยเพียงใด หากวิเคราะห์จากสถานการณ์ในตัวอย่าง ณ ขณะนี้จะสังเกตุเห็นได้ว่า สถานะ ความคืบหน้า และบริบทได้เปลี่ยนแปลงไป ดังนี้หากต้องการทำวิจัยต่อ วิธีการวิจัยควรเป็นวิธีเพื่อที่จะสามารถยืนยันข้อมูลที่ได้รับจากจำนวนผู้เข้าร่วมทั้ง 5 คนเพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลดังกล่าวมีความเที่ยงตรงต่อจำนวนขนาดประชากรที่สูงขึ้น ด้วยสาเหตุนี้ปัจจัยด้าน สถานะ ความคืบหน้า และบริบทจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการเลือกวิธีการวิธีการวิจัย
ในการทำงานด้าน UX/UI ผู้ใช้ หรือ User นับเป็นหัวใจหลักของการทำงาน แต่ถึงอย่างไรก็ตามนั้นก็ไม่อาจจะที่ละเลยเป้าหมายหรือกลุยทธทางด้าน UX/UI และ ธุรกิจ ที่กำหนดไว้ได้ ดังนี้วิธีการวิจัยที่คาดหวังจะปฎิบัติขึ้นควรสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ที่วางไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่มีคุณประโยชน์สูงสุดที่จะสร้างสรรค์งานที่สอดคล้องกับเป้าหมายทั้งในด้าน UX/UI และ ธุรกิจ
จากกรณีศึกษาที่หนึ่ง หากธุรกิจของบริษัทที่ปรึกษาหนึ่งต้องการที่พัฒนาระบบที่ช่วยในการบริหารจัดการด้านบัญชีขึ้นเพื่อทดแทนระบบเก่าภายในองค์กร ดังนี้แล้วในช่วงแรกหากต้องการเริ่มต้นทำการศึกษาวิจัยเพื่อออกแบบระบบดังกล่าวควรใช้วิธีการวิจัยเบื้องต้นเพื่อสร้างความเข้าใจเชิงลึกในด้านต่างๆ อาทิ มุมมองการทำงาน บริบทการทำงาน Mental Model ฯลฯ จากการได้ข้อมูลผลลัพธ์พื้นฐานจะสามรถช่วยให้สามารถออกแบบระบบ หลังจากที่ออกแบบเสร็จสิ้นและนำไปใช้งานในบริษัท ทางทีมงานมีความประสงค์ต้องการพัฒนาระบบดังกล่าวเพื่อให้รองรับกับกรณีต่างๆทางธุรกิจที่เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เป้าหมายและกลยุทธ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นจากในสถานการณ์นี้วิธีการวิจัยควรสอดคล้องกับปัจจัยด้านเป้าหมายและกลยุทธ์ดังกล่าว อาทิ การวิจัยศึกษาการใช้งานผ่านข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อให้ทราบถึงข้อมูลที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพและคุณประโยชน์ของการใช้งานระบบ การวิจัยศึกษาด้านสถาปัตยกรรมข้อมูลด้านอนุกรมวิธาน (Information Architect: Taxonomy) ฯลฯ จากข้อมูลและตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นได้ว่าวิธีการวิจัยควรสอดคล้องกับปัจจัยด้านเป้าหมายและกลยุทธ์เพื่อสร้างคุณประโยชน์สูงสุด
ทรัพยากร คือหัวใจหลักของการทำวิจัย ในทุกๆการทำวิจัยทรัพยากรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยกรคน เวลา และเงิน ด้วยเหตุนี้จากที่ทราบกันมาโดยทั่วกันว่าวิธีการวิจัยแต่ละวิธีจำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพยากรที่จำนวนแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น วิธีการวิจัยด้วย Diary Study หรือ Ethnographic Study สองวิธีดังกล่าวที่ระบุจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นอย่างมากในการทำวิจัย แต่กลับใช้เวลาด้านทรัยากรคนไม่สูงมาก หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งหากต้องการวิจัยด้านการปฏิสัมพันธ์ (Interaction) บนโลก Metaverse โดยมีวัตถุประสงค์ว่าการปฏิสัมพันธ์บนโลก Metaverse ดังกล่าวสอดคล้องกับ Mental Model ของผู้ใช้หรือไม่ จากเป้าหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า แบบจำลอง (Prototype) เพื่อนำเสนอโลก Metaverse และอุปกรณ์ควบคุม (Controller) เพื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆบนโลก Metaverse นับเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก หากวิเคราะห์ด้านทรัพยากรโดยพื้นฐานจะเห็นได้วิธีการวิธีการวิจัยด้านการปฎิสัมพันธ์ดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากในทุกๆด้าน อาทิ คน เวลา และเงิน ดังนี้หามีข้อจำกัดใดจากปัจจัยด้านทรัพยากรจะส่งผลให้วิธีการวิจัยดังกล่าวอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น อาจจะเปลี่ยนจากแบบจำลองระดับความคล้ายคลึงสูง (High-Fidelity Prototype) ไปเป็น แบบจำลองระดับความคล้ายคลึงต่ำแทน (Low-Fidelity Prototype) เพื่อให้สอดคล้องกับทรัพยากรด้านต่างๆในการทำงาน
ในบทความนี้ได้วิเคราะห์ถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้วิธีการวิจัยอย่างเหมาะสมที่จะสามารถสร้างคุณประโยชน์สูงสุดต่อการออกแบบ UX/UI และ ธุรกิจได้ โดยการเลือกวิธีการวิจัยที่ดีนั้นประกอบไปด้วยปัจจัยพื้นฐานทั้ง 4 ปัจจัย ดังนี้ 1.คุณลักษณะผู้เข้าร่วมวิจัย (Persona of Participant) 2.สถานะ ความคืบหน้า และบริบท (Status, Progress and Context) 3.เป้าหมาย และกลยุทธ์ (Goal and Strategy) 4.ทรัพยากร (Resource) อย่างไรก็ตามทั้ง 4 ปัจจัยเป็นเพียงแค่มุมมองพื้นฐานต่อการวิเคราะห์เพื่อเลือกวิธีการวิจัยเท่านั้น โดยหากในเป้าหมายทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอาจจะส่งผลให้มีปัจจัยต่างๆที่อาจจะเพิ่มขึ้นมาได้
ติดตามบทความเกี่ยวกับการวิจัยและออกแบบได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/unblockdesign
Instagram : https://www.instagram.com/unblockdesign
ทีมออกแบบของ Blockfint ที่มีความเชี่ยวชาญในการวิจัย วางแผน และออกแบบ Digital Products